005 ธรรมปัจเวกขณ์
ประจำวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖
อะไรก็ไม่เที่ยง

เราพิจารณาองค์ประกอบ ในการพิจารณา ที่เราเคย ได้ยินมา เช่นว่า เราได้พิจารณา เรื่องไตรลักษณ์ พิจารณาความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ท่านก็ให้พิจารณา สิ่งที่ใกล้ที่สุด ให้เห็นความเข้าใจ อย่างเบื้องต้น อย่างอนุบาล ที่สุดว่า แม้แต่ในเนื้อตัวเรา มีสิ่งให้เห็นว่า มันเกิดๆ ขึ้นอยู่เสมอ มันไม่ได้หยุดอยู่ เช่นว่า ผมมันก็ยาวขึ้นๆ เล็บมันก็งอกออกๆน่ะ เล็บ ขน ผม ฟัน หนัง มันเกิดตั้งแต่เด็ก ค่อยๆเกิด ค่อยๆโต แต่ก่อนนี้ เรามีผิวหนัง มีหนังนิดหน่อย ต่อมาโตขึ้น ก็มีหนังมากขึ้น ยืดหยุ่นได้ ยิ่งยืดหยุ่น ก็เต่งตึงขึ้นมา เสร็จแล้ว พอเต็มที่แล้ว ก็ย่อลง ย่นลง เหี่ยวลง ย่อได้ อย่างนี้ เป็นต้น

ฟันไม่เคยมี มีขึ้นมา จากเล็กมาจนโต จากโตแล้วก็ เป็นร่วงโรยไป ก็เห็นความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แบบอนุบาล แบบง่ายๆน่ะ ทุกคนก็ต้องพิจารณา ก็รู้โดยธรรม เพราะมันก็มี เท่านั้น คือสิ่งที่เป็น สังสารวัฏ มีอยู่เท่านั้น มีอยู่แต่เกิดขึ้น แล้วก็เวียนวน ตั้งอยู่ แล้วก็เสื่อมสลาย ดับไป แม้แต่ร่างกาย ชีวิตตัว ร่างกายของเรา ก็เช่นเดียวกัน เอาไว้ไม่อยู่ มันเกิดขึ้น มันตั้งอยู่ แล้วมันก็จะดับไป เราจะหลงอะไร มันนักมันหนา ประคบประหงม ให้มันสะ มันสวย ให้มันล่อ เอาอะไรเข้ามา เหมือนดอกไม้ เหมือนแมลง เหมือนกับอะไร ต่างๆ นานา เอามาทำไม เอามาเสพย์สม แล้วเราก็หลง เสพย์สม ว่าอะไรต่ออะไร ต่างๆ นานาน่ะ ถ้าเผื่อว่า มันมีเชื้อโรค เราก็ดูแลมัน อย่าให้มันมีเชื้อโรค มันเป็นทุกข์ เพราะการเจ็บ การป่วย เป็นทุกข์ จะล้างเช็ดถูตัว หรือ เนื้อตัวอะไร พอเป็นพอไป มีปัญญาในสุขภาพ ดูแลมัน พอเป็นพอไป ก็พอแล้ว

ถ้าเราไม่เข้าใจว่า ไอ้ร่างกายนี้ ก็เป็นเพียง ที่อาศัย เพื่อสร้างความดี แต่เราหลงมันว่า ร่างกายนี้ มีไว้เพื่อ จะได้เป็นอุปกรณ์ ในการเสพย์สุข แล้วเราก็ใช้ ร่างกายนี้ เพื่อเสพย์สุข ไม่ว่าจะเสพย์สุข ทางสวาปาม มาทางปากกิน ถ้าจะเอามา ประคบ ประหงม ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัส โดยท่าทีใดๆ สัมผัส จนกระทั่ง เอากาย เอาอิริยาบถ เอาพฤติกรรม ไปได้เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ แล้วก็เอามาเป็นสุข เราก็จะต้องรู้ว่า มันไม่ใช่ ร่างกายนี้ มันไม่ได้มีเอาไว้ สำหรับ เพื่อที่จะมา แสวงสุข แบบนั้น สุขแบบนั้น เขามีกันทั้งโลก คนไม่รู้ จะเป็นแบบนั้น ทั้งนั้น จะแสวงโลกียสุข อย่างนั้น ทั้งนั้น จนมาเป็นปราชญ์ มาเป็นผู้รู้ จะเห็นว่า เราไม่แสวงนั่น ต่างหาก เบา ว่าง ง่าย วูปสโมสุข สุขอย่างว่าง อย่างเบา ไม่ต้องมี ไม่ต้องเสพย์ ไม่ต้องสม อย่างไปหลงรสเลย โลกียรส อย่างนั้น อัสสาทะอย่างนั้น มนุษย์หลง

กว่าเราจะมาเข้าใจ แล้วเราหัด ปลดปล่อยออก จนจะรู้ว่า มันไม่มี ได้เห็นอนัตตา เห็นความสูญ ของอารมณ์ อร่อยพวกนั้น จนมันไม่มี อารมณ์อร่อยจริง คุณจะเป็นคน พิสูจน์เอง แล้วคุณจะได้รู้ ได้เข้าใจ ว่ามันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แม้แต่กิเลส เรานึกว่ามันเที่ยง แม้แต่อัสสาทะ เรานึกว่ามันเที่ยง แม้แต่ความหลงอร่อย เรานึกว่ามันเที่ยง มันเป็นของจริง มันตีไม่แตก เราก็มาตีแตก ตีแตกจนกระทั่ง มันหมด มันสูญ ให้เราเห็น เราจะเป็น ผู้ปรากฏอนัตตา ปรากฏสุญญตา ที่แท้ว่า อ้อ! มันไม่มีแล้วน่ะ

แม้ของที่เรายังไม่เคย เข้าไปติด มันก็สูญอยู่ อารมณ์ ที่คนอื่นเขาชอบ ในมนุษย์ แต่เราไม่ชอบ จริงๆ มันก็สูญอยู่ เราก็รู้สูญ มันไม่ได้ล้าง ไม่ได้ละ โดยที่เราไม่ไปติด มันก็มีสูญ ให้เรารู้จัก อารมณ์นั้น ทีนี้เราเอา อารมณ์สูญ อย่างนั้น ไปเทียบ แม้แต่ เราไปติดเข้าแล้ว เราล้างออกหมด แล้วเรา ก็เป็นสูญอีก เช่นเดียวกันกับ ที่เราไม่เคยติด อารมณ์ที่เรา ไม่เคยติดอะไร มันสูญ อาการอารมณ์นั้น มันเหมือนกันกับ อารมณ์ที่ แม้เราติดแล้ว เรามาล้างออก สูญแล้ว มันสูญๆ เหมือนกัน มันเป็นอารมณ์ ที่ไม่ติดในอารมณ์ ที่จำได้มีมั้ย ต้องแยกสัญญา แยกความจำ เออ! จำได้ รสมันเป็นอย่างนั้น แต่ตอนนี้ มันไม่มีจริงๆ สัมผัส มันก็ไม่มี แต่จำได้ จำได้ ไม่อยาก ไม่แสวงหา เฉยๆ ให้เกี่ยวข้องก็ได้ ไม่เกี่ยวข้อง ก็ได้ ถ้าจำเป็น ก็เกี่ยวข้องก็เกี่ยว ไม่จำเป็น ก็ไม่เกี่ยวข้อง หรือเกี่ยวข้อง มันก็ผ่านไป ผ่านมา ตามที่เราจะต้อง อยู่กับโลก เกี่ยวกับสิ่งนั้น เท่านั้น อย่างนี้เป็นต้น

เราจะรู้ไตรลักษณ์ เราจะรู้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่ลึกซึ้งขึ้นไป จนถึง อารมณ์ของจิต ตั้งแต่ว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อย่างหยาบ จนถึงปรมัตถ์ ที่ได้แนะนำ อธิบาย ไปสู่สุญญภาพ สุญญตา ของอารมณ์จิต ที่มันสูญ เป็นทุกข์ เพราะแสวงหา เป็นทุกข์ เพราะความหลง โมหะ อวิชชา แต่เสร็จแล้ว พอล้างเสร็จ หมดแล้ว เสร็จสิ้นกิจ สิ้นภาระ ไม่ต้องแสวงหา เสพย์สม อีกแล้ว เราว่าง ว่างนั่นแหละเป็น ถ้าว่าเป็น ความสุข สุขยิ่งกว่า วูปสโมสุข สงบระงับ ไม่มีภาระ ไม่มีเรื่องเดือดร้อน แล้วเราเห็นถึง ความเป็นจริง ของคน พิจารณาถึง ความสัมผัส รู้อยู่ แล้วเราก็เหมือนมันอยู่ ให้เห็นโลกุตรธรรม อันนี้ให้ชัด ว่าเราไม่ต้องหนีมัน เราไม่ต้องวิ่งไป หนีไป สุดโลก จนกระทั่ง ไม่ต้องพบ ไม่ต้องสัมผัสกัน อย่างนั้นน่ะ เป็นลัทธิอื่น

ลัทธิพุทธของเรา พิจารณาอยู่ ต่อหน้าต่อตา อาการสุญญภาพ ก็เกิด อาการสุญญตา ก็เกิด เพราะฉะนั้น กิเลสอะไร ที่เรายังเห็นอยู่จริง แล้วเราก็ทำให้ เข้าใจไตรลักษณ์ ที่เป็นประเภท ปรมัตถธรรม ให้ได้ แล้วเราก็ ล้างๆๆๆมา ละมา จนถึงขั้น สงบระงับ ได้จริง ขอให้พิจารณาให้เห็น ตั้งแต่หยาบ กลาง มาถึงละเอียด ถึงปรมัตถธรรม ดังกล่าวนี้ ให้จริง ไม่ว่าจะปฏิบัติ อยู่ในโลก ที่หยาบคาย ขนาดไหน เราก็เป็นผู้ที่ มีจิตว่าง จิตอุเบกขา จะอยู่กับมัน ได้มั่นคง ไม่หวั่นไหว อย่างแข็งแรง ก็ขอให้พิจารณาเห็น ความจริง อย่างนั้น เป็นความสงบ เป็นความเป็นได้ดี แล้วเราก็รู้ บทบาทของ ร่างกายนี้ ไม่ได้มีไว้เพื่อ เสพย์สุข แต่ร่างกายนี้ มีไว้เพื่อ สร้างสรรการงาน สร้างสรร สิ่งประเสริฐไว้ อนุเคราะห์โลก เป็นประโยชน์ แก่พหุชน สร้างพหุชน เป็นสุขมา ตามขั้น ตามตอน และพยายาม เข้ามาสู่โลกุตระ หรือ วูปสโมสุข

โลกียสุขไม่ต้องสอน ไม่ต้องแนะนำ ไม่ต้อง ไปช่วยเขาปรุง แต่โลกุตระ หรือ วูปสโมสุขนี้ ต้องพยายาม ดึงคนออกมา ยิ่งคนทุกวันนี้ ยิ่งหนาแน่น ไปด้วยโลกียะ ถ้าเรามาทาง โลกุตระแล้ว เราก็จะได้ ทำให้โลกนี้ สมดุลขึ้นมา ถ่วงดุลขึ้นมา เราต้องได้จริงเป็นจริง จึงจะนำพา ให้คน ทั้งหลาย ทั้งแหล่นี้ มาเป็นได้ และ เราเอง แม้ได้แล้ว มันไม่มีวัน เปลี่ยนแปลง และเราก็จะ ไม่เปลี่ยนแปลง เราเข็ดขยาด หรือว่าเราเอง เห็นชัดเจนแล้ว โลกก็เท่านั้น จะเกิดมาอีก กี่ชาติ กี่ชาติ ก็อย่างนี้ มาหลงโลกีย์อย่างนี้ ต่อให้อีก ล้านชาติ อีกหลายๆๆๆๆ ชาติ ให้กล่าว จนคางยาน มันก็ได้อย่างนี้

เพราะฉะนั้น เมื่อเรารู้ว่า การสงบ ก็สงบอยู่แล้ว และก็ ความเป็นมนุษย์ ก็เป็นมนุษย์ ที่จะต้อง สร้างสรร เพราะฉะนั้น ร่างนี้ขันธ์นี้ จึงขอบอกว่า มันไม่ได้ มีมาเพื่อ แสวงหาโลกียสุข มาให้มัน มันมีมาเพื่อ สร้างสรร

แม้เราเอง เรารู้ความสงบแล้ว เราก็จะปล่อย ให้ร่างนี้ ขันธ์นี้ มันลอยละล่องไป เป็นลอยชาย ลอยหญิง อยู่นั่น มันก็ไม่ใช่ร่างนี้ ถ้าเป็นอย่างนั้นดี เราก็ไม่เรียกว่า อันนั้น เป็นมนุษย์ ร่างกายนี้ ก็ลอยไป ลอยมาน่ะ มีการกิน การนอน การขี้ การเยี่ยว แม้จะไม่เสพย์ สืบพันธุ์ มันก็เหมือนสัตว์ บางตัว เท่านั้นเอง จะดีกว่ามัน นิดเดียว ที่ไม่สืบพันธุ์ได้นะ แต่แท้จริง มันก็ไม่ได้ หนีเกินกว่าสัตว์ ไม่ได้มีคุณค่า ประโยชน์อะไรเลย แล้วจะเรียกว่าเป็น มนุสโส ซึ่งเป็นผู้ที่มี จิตวิญญาณฉลาด และสูงนั้นไม่ได้

เพราะฉะนั้น มนุษย์ผู้มี จิตวิญญาณ ฉลาด และสูง นั้นก็คือ เป็นผู้ที่เหนือกว่า สัตว์เดรัจฉาน หรือ สัตว์ทั่วไป ที่เฉลี่ยแล้ว เราเหนือกว่านั้น มีคุณค่า มีประโยชน์จริงๆ เพราะแม้ เราสงบแล้ว จากกิเลส แล้วเราก็สร้างสรร เท่าที่เรา จะมีสมรรถนะ สามารถ มีความสามารถ สร้างสรรไป ไม่ขี้เกียจ ไม่ขี้คร้านน่ะ รู้จักพัก รู้จักเพียร โดยเฉพาะ รู้จักเพียรนี่แหละ เป็นสำคัญ เพียรในสิ่งที่ควรเพียร เพราะในสิ่งที่ ไม่ควรเพียร เราไม่เพียร , เราพียร ในสิ่งที่ควรเพียร แล้วเมื่อเมื่อย เมื่อเพลีย เราก็พัก ถึงเวลาควรพักผ่อน เราก็พัก ตามที่ได้สรุป ให้ฟัง อยู่ทุกเมื่อ

เพราะฉะนั้น เมื่อคนใด ที่เห็นอย่างนี้จริง แล้วก็ถึงจุดจริง เป็นจริง ทรงอยู่ซึ่ง สภาพที่ถึง แม้แต่ บทบาท สุดท้าย ที่พระพุทธเจ้า ท่านบอกว่า เราไม่พัก เราไม่เพียร ผู้นี้แหละ นิพพานล่ะ ผู้นี้ข้ามโอฆสงสาร ได้แล้ว ตามที่ได้ อธิบายแล้ว อธิบายเล่าน่ะ ผู้นั้นก็หมดสงสัย ผู้นั้นก็ทรงอยู่ ในสภาพที่เป็น อย่างที่เป็นมนุษย์ ประเสริฐที่แท้ เป็นผู้ที่มี คุณค่าชีวิตร่างกาย มันสมอง สมรรถนะ ทางกาย ทางใจ ผู้นี้ก็จะเป็น ผู้ที่จะเป็น โลกานุกัมปายะ ที่แท้ เป็นพหุชนะหิตายะ ที่แท้ เป็นพหุชนะสุขายะ ที่แท้ ในสังคมมนุษยโลก

สรุปความสำคัญของมนุษย์ ก็เป็นไปอย่างนี้ เป็นไปได้ ดังนี้ เพราะฉะนั้น เราทำได้แค่ใดๆ ก็ค่อยๆ พิจารณา จริงๆ โลกจะหมุนเวียน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อย่างนี้ๆ เมื่อเรารู้ถึงรากฐาน แห่งการนำเกิด คือกิเลสโลก มาเสพย์สม เมื่อเรา ไม่ต้องเสพย์สม ในโลกแล้ว มีแต่สร้างสรร ถ้าเราเอง เราไม่ต้องการ เกิดอีก เชื้อที่จะ พาเกิด ด้วยโลภ โกรธหลง ดังกล่าวแล้ว จนกระทั่ง ละเอียด มันไม่เป็นแรง ที่จะพานำเกิดแล้ว มันสูญจริงๆ เรามีสิทธิ์ ที่จะเป็นไป ตามจริงนั้น

แต่ถ้าใจเราอยากที่ไม่เกิด แต่เราไม่ได้ ล้างกิเลส โลภ โกรธ หลง นี่ออกหมดจริง มันก็ยังต้อง เกิดมาอีก ตามวิบาก แล้วเราก็จะ สร้างบุญ สร้างบาป มาอีกเท่าไหร่ เราก็ยังไม่รู้ บาปเก่า บุญเก่า อีกเท่าไหร่ เรายังไม่รู้ เราก็จะต้อง มาหนัก มาหนา กับไอ้สิ่งที่ เป็นวิบากนั้นอีก และ พระพุทธเจ้า ก็ยืนยันว่า แม้เราจะมีบุญ ในชาตินี้ ได้เป็นมนุษย์ แต่เกิดมาอีก แล้วจะได้เกิดเป็น มนุษย์อีกนั้น ยากทั้งยาก ส่วนมาก ตกนรก

เพราะฉะนั้น การที่ได้เกิดมา เป็นมนุษย์แล้ว อย่าปล่อยปละ ละเลย ความเป็นมนุษย์ ต้องสร้างสรร สร้างพลวปัจจัย ให้ยิ่ง เราไม่รู้ว่า วิบากของเรา มันเลวมันชั่ว อยู่แค่ไหน เมื่อเราไม่รู้ อย่าประมาท ได้ร่างมนุษย์มาแล้ว จะเกิดมา เป็นมนุษย์อีกนั้น แม้เป็นเทวดา แต่เทวดา แบบกามาวจร กับเทวดาแบบ อุบัติเทพ อย่างไรก็ตาม แม้เป็นเทวดา แบบอุบัติเทพ ท่านก็ไม่ได้ละเว้น ท่านกล่าว กลางๆว่า แม้เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา จะได้กลับมา เกิดเป็นมนุษย์อีกนั้น หาได้ยาก ส่วนมาก ตกนรก

ขอกำชับกำชา เมื่อเราได้เกิดมาพบ พระพุทธศาสนา มีผู้นำพา เอาใจใส่ อย่าปล่อยปละ ละเลย ชีวิตนี้ เป็นทั้งชีวิต ถ้าเข้าใจประโยค พระพุทธเจ้า ท่านตรัสว่า จะได้เกิดมา เป็นมนุษย์อีก ยากนัก ไม่ว่าจะเป็น เทวดา หรือ มนุษย์ จะกลับมาเกิด เป็นมนุษย์ อีกได้นั้น ยากนัก ถ้าเข้าใจอันนี้แล้ว อย่าประมาท ใช้ความเป็นมนุษย์นี้ พบพระพุทธศาสนา มีหมู่กลุ่มอันดี มีผู้นำผู้พา อย่างแข็งแรง อุตสาหะ วิริยะ พากเพียร สร้างวิบาก อันเป็นกุศล พยายามปฏิบัติ เพื่อลดละ ล้าง จางคลาย ให้ได้มากที่สุด ให้ได้ เราจะได้ ไม่เสียชาติเกิด แม้เราสร้างดี เพียงพอ เรายังจะได้เกิด มาเป็นมนุษย์ ถ้าบุญ เพียงพออีก ยังจะได้พบ พระพุทธศาสนาอีก

เพราะฉะนั้น มันอยู่ที่ความเพียร ของเราทั้งสิ้น ไม่ได้เกิดจาก ของผู้อื่นเลย ขอให้ทุกคน จงพยายาม มีความเพียร อย่าให้กลายเป็น โมฆบุรุษ ได้เกิดมา เป็นมนุษย์ ชาตินี้แล้ว ชาติหน้า เราไม่ได้เจอกันอีก เพราะท่าน ไปอยู่เสีย นรกแล้ว ก็เป็นเรื่องน่าเศร้า อย่างยิ่งน่ะ นี่ไม่ใช่เรื่องพูดเล่น แต่เป็นเรื่องจริง ที่ขอเตือน ขอให้พวกเรา ได้พากเพียรน่ะ เพื่อสร้างกุศลนั้น แก่ตน แก่ตน ทุกคน

สาธุ.